pimsyshop

pimsyshop
เครื่องประดับแฟชั่น ราคาถูกสุดๆ 39 บาท

วันจันทร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ตำรายาอายุวัฒนะ สูตรของหลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม

ตำรายาอายุวัฒนะ สูตรของหลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม

วันนี้ผึ้งขอมาบอกสูตรยาอายุวัฒนะ สูตรของหลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม เพื่อเป็นวิทยาทานค่ะ

ส่วนประกอบ
เกลือทะเล 3 ส่วน
บอระเพ็ดสดหั่น 5 ส่วน
มะขามเปียกเอาเม็ดและซางออกสับ 7 ส่วน

สรรพคุณ
แก้มะเร็งเม็ดเลือดเสกด้วยนวหรคุณ 9 รักษาโรคมะเร็งระยะเป็นใหม่ๆ รักษาเอดส์ ต้องเสกด้วย
พุทธคุณ 108 แก้ท้องเฟ้อ มดลูกเสีย กินทุกวันร่างกายแข็งแรง

วิธีทำ
เอาเกลือทะเลเม็ด 3 ส่วน บอระเพ็ดสดหั่น 5 ส่วน มะขามเปียกเอาเม็ดและซางออก สับ 7 ส่วน
นำมาโขลกผสมกัน กินเช้า-เย็น หรือก่อนนอน ครั้งละก้อนเท่าหัวแม่มือ ถ้าต้องการให้ถ่าย
กินตามธาตุหนัก-เบา แล้วดื่มน้ำตามมากๆ

สูตรนี้นำมากจาก หนังสือสวดมนต์ ตำรับยาสมุนไพร ของหลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี

วันอาทิตย์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2553

มะรุม พืชสมุนไพรที่ให้ประโยชน์อนันต์




มะรุม เป็นพืชสมุนไพรพื้นบ้านของไทยๆ ที่มีประโยชน์อย่างมากมาย โดยสามารถทานในรูปแบบสดก็ได้ หรือเป็นรูปแบบสมุนไพรแห้งบรรจุแคปซูลก็สะดวกดี

ผึ้งและคนในบ้านนิยมทานในรูปแบบแคปซูล โดยซื้อผงมะรุมแห้งมาเป็นกิโล และบรรจุใส่แคปซูลเอง(ไว้รับประทานนะคะ ไม่ได้จำหน่ายค่ะ) ซึ่งจะค่อนข้างราคาถูกกว่าการซื้อเป็นกระปุกๆที่เค้าวางขายกันหลายยี่ห้อ คุณภาพก็ดีพอๆกันค่ะ(เพราะลองมาหลายแบบแล้ว) ตั้งแต่ทานมา ทำให้ผึ้งและคนในบ้านห่างไกลกับยาฝรั่งค่อนข้างเยอะ คือไม่ใช่ว่าไม่ป่วยนะคะ แต่ช่วยให้ร่างกายเราแข็งแรงไม่ป่วยง่ายๆมากกว่าค่ะ แต่ถ้าถึงคราวป่วยขึ้นมาจริงๆก็ต้องไปหาหมอที่ รพ.นะคะ
คุณค่าทางอาหารของมะรุม มะรุมเป็นพืชมหัศจรรย์ มีคุณค่าทางโภชนาการสูงสุด กล่าวถึงในคัมภีร์ใบเบิ้ลว่าเป็นพืชที่รักษาทุกโรค
ใบมะรุมมีโปรตีนสูงกว่านมสด 2 เท่า การกินใบมะรุมตามชนบทของประเทศกำลังพัฒนาและประเทศโลกที่ 3 เป็นการเพิ่มโปรตีนคุณภาพสูงราคาถูกให้กับอาหารพื้นบ้าน
นอกจากนี้ มะรุมมีธาตุอาหารปริมาณสูงเป็นพิเศษที่ช่วยป้องกันโรค นั่นคือ
วิตามินเอ                          บำรุงสายตามีมากกว่าแครอต 3 เท่า
วิตามินซี                        ช่วยป้องกันหวัด 7 เท่าของส้ม
แคลเซียม        บำรุงกระดูกเกิน 3 เท่าของนมสด
โพแทสเซียม    บำรุงสมองและระบบประสาท 3 เท่าของกล้วย
ใยอาหารและพลังงาน  ไม่สูงมากเหมาะกับผู้ที่ควบคุมน้ำหนักอีกด้วย
น้ำมันสกัดจากเมล็ดมะรุม มีองค์ประกอบคล้ายน้ำมันมะกอกดีต่อสุขภาพอย่างยิ่ง

ประโยชน์ของมะรุม

1.ใช้รักษาโรคขาดอาหารในเด็กแรกเกิดถึง 10 ขวบ และลดสถิติการเสียชีวิต พิการ และตาบอดได้เป็นอย่างดี
2.ใช้รักษาผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวานให้อยู่ในภาวะควบคุมได้
3.รักษาโรคความดันโลหิตสูง
4.ช่วยเพิ่มและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย ทานผลิตผลจากมะรุมในระหว่างตั้งครรภ์ เด็กที่เกิดมาจะไม่ติดเชื้อHIV นอกจากนี้ถ้ารับประทานอย่างน้อยอาทิตย์ละ 3 ครั้งยังช่วยให้คนทั่วๆไปสามารถสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวเอง
5.ช่วยรักษาผู้ป่วยโรคเอดส์ให้อยู่ในภาวะควบคุมได้ การรักษาโรคเอดส์ที่ประสพผลสำเร็จในกลุ่มประเทศแอฟริกา
6.ถ้ารับประทานสม่ำเสมอจะช่วยป้องกันไม่ให้เป็นโรคมะเร็ง แต่ถ้าหากเป็นก็จะช่วยให้การรักษาพยาบาลง่ายขึ้น ในบางกรณีสามารถหยุดการเจริญเติบโตของโรคร้ายได้ ถ้าใช้ควบคู่ไปกับยาแพทย์แผนปัจจุบัน
หากผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งได้รับการรักษาด้วยรังสี การดื่มน้ำมะรุมจะช่วยให้การแพ้รังสีฟื้นตัวเร็วขึ้นและมีร่างกายที่แข็งแรง
7.ช่วยรักษาโรคไขข้ออักเสบ โรคเก๊าท์ โรคกระดูกอักเสบ โรคมะเร็งในกระดูก โรครูมาติซั่ม
8.รักษาโรคตาเกือบทุกชนิด เช่น โรคตามืดตามัวเพราะขาดสารอาหารที่จำเป็น โรคตาต้อ เป็นต้น หากรับประทานสม่ำเสมอ จะทำให้ตามีสุขภาพที่สมบูรณ์
9.รักษาโรคลำไส้อักเสบ โรคเกี่ยวกับท้อง ท้องเสีย ท้องผูก โรคพยาธิในลำไส้
10.รักษาปอดให้แข็งแรง รักษาโรคทางเดินของลมหายใจ และโรคปอดอักเสบ
11.เป็นยาปฏิชีวนะ

วันเสาร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2553

น้ำมันมะพร้าว........ผู้ร้ายที่กลับกลายมาเป็นพระเอก

alt



ที่เขาบอกกันว่า  “ความแน่นอน คือความไม่แน่นอน” นั้นคงไม่เกินความจริงไปมากนัก
อะไรที่ว่าดีหรือใครที่ว่าดีๆสุดยอด ได้รับการยกย่องเชิดชู ก็อาจกลับกลายเป็นสุดแย่
อะไรที่เคยถูกมองถูกกล่าวหาว่าเป็นของไม่ดี เป็นผู้ร้าย ก็อาจกลับกลายเป็นของดี
หรือเป็นพระเอกขึ้นมาได้
“น้ำมันมะพร้าวและกะทิ” ที่เรากลัวกันนักหนา ในแวดวงการแพทย์ โดยเฉพาะแพทย์โรคหัวใจไม่ว่า
ของต่างประเทศหรือของไทยเราบอกว่า อย่ากินหรือกินให้น้อยๆ หน่อย เพราะมันเป็นน้ำมันที่อิ่มตัว
ทำให้คอเลสเตอรอลสูง เป็นต้นเหตุให้เกิดการอุดตันของหลอดเลือด ทำให้หัวใจวายเพราะขาดเลือด
และบอกให้เราไปรับประทานน้ำมันที่ไม่อิ่มตัว เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด น้ำมันดอกคำฝอยแทน
ซึ่งน้ำมันเหล่านี้ ต้องนำเข้า หรือซื้อวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตมาจากประเทศอเมริกาเป็นส่วนใหญ่

เราและเพื่อนบ้านชาวเอเซีย รวมถึงหมู่เกาะต่างๆในแถบแปซิฟิค ที่เคยมีมะพร้าวเป็นส่วนประกอบของอาหารในการดำเนินชีวิต รวมถึงเป็นสินค้าส่งออก ต่างประสบปัญหาไปตามๆ กัน อย่าว่าแต่จะส่งออกเลย ภายในประเทศก็ยังขายไม่ค่อยได้ ต่างก็พากันหลงเชื่อ และหลีกหนี “กะทิและน้ำมันมะพร้าว” โรงงานผลิดน้ำมันมะพร้าวต้องปิดตัวลง ชาวสวนมะพร้าวขายมะพร้าวไม่ได้ ไม่คุ้มค่าจ้างลิงเก็บมะพร้าว พากันโค่นต้นมะพร้าวเอาพื้นที่ไปเลี้ยงกุ้ง ทั้งลิงและคนเลี้ยงลิงต้องพากันตกงาน หันไปแสดงโชว์การเก็บมะพร้าวให้คณะทัวร์ดูบ้าง รับจ้างเป็นพรีเซ็นเตอร์ถ่ายทำโฆษณากระเบื้องมุงหลังคา หรือไม่ก็ไปแสดงละครลิง เพื่อความอยู่รอด

เมื่อเราเลิกกิน เลิกใช้น้ำมันมะพร้าว หันไปกินไปใช้น้ำมันประเภทไม่อิ่มตัว ซึ่งเป็นน้ำมันถั่วเหลืองเป็นส่วนใหญ่ ปรากฎว่าได้ผล(เสีย)เกินคาด ประชาชนพลเมือง พากันอ้วนพุงพลุ้ยกันเป็นแถว ตามติดมาด้วยโรคหัวใจ หลอดเลือดอุดตัน เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว โดยเฉพาะประเทศอเมริกา(ตัวต้นเหตุ) ก็ต้องรับผลกรรมนี้ไปเต็มๆ ก็ถือว่าสมควรแก่เหตุ ที่มารังแกชาวสวนมะพร้าวของพวกเรา
และก็เป็นนักวิจัยของอเมริกาเองอีกนั่นแหละ ที่มาเปิดโปงความดีความงามของ “น้ำมันมะพร้าว” ที่ถูกนักวิจัยที่นิสัยไม่ดี ปกปิด ซ้อนเงื่อนงำเอาไว้ แล้วกลับไปยกย่องเชิดชูน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันข้าวโพด ที่อเมริกาผลิตขึ้นออกขายเอง (หวังจะรวยคนเดียว) แต่ความจริงก็คือความจริง จะปิดบังอย่างไรก็ปิดไม่ได้หรอกครับ

และแล้ว “มะพร้าว” ก็กลับมาเหมือนพระเอกขี่ม้าขาว ที่ได้รับชัยชนะได้รับการยกย่องเชิดชูเป็น “ต้นไม้ให้ชีวิต (Tree of Life)” เพราะเป็นต้นไม้ที่มีคุณค่าเอนกประสงค์ ใช้ประโยชน์ได้หมด ตั้งแต่ราก จนถึงสุดปลายยอด ใช้กิน ใช้ทา ใช้เป็นยา ใช้ปลูกสร้างบ้านเรือน เครื่องใช้ไม้สอยได้สารพัด จนบรรยายไม่หมด


นับแต่นี้ต่อไป เราจะได้กินได้ใช้มะพร้าว โดยเฉพาะ “น้ำมันมะพร้าวและกะทิ” กันอย่างหน้าชื่นตาบานกันเสียที ไม่ต้องหลบๆซ่อนๆ กลัวใครจะว่า เราคงกินแกงเขียวหวานไก่ ลอดช่องแตงไทยใส่น้ำกระทิได้อย่างสบายใจ ไม่มีใครมาคอยดุด่าเรา ให้ลำคาญใจ หาว่าเราไม่รักสุขภาพ (หลังจากที่เราถูกสอนให้กลัวน้ำมันมะพร้าวและกะทิ กันมาร่วม 40 ปี)  

ดร. ณรงค์ โฉมเฉลา ประธานเครือข่ายพืชปลูกพื้นเมืองไทย ซึ่งท่านเป็นตัวตั้งตัวตีในการเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับน้ำมันมะพร้าวให้คนไทยได้เข้าใจถึงคุณค่า ได้รวบรวมข้อมูลผลงานวิจัย และเขียนบทความไว้มากมาย และที่ง่ายๆ คือหาข้อมูลจากเว็ปไซด์ ผมขอยกเอาคุณสมบัติบางส่วนของ “น้ำมันมะพร้าว”มาเล่าให้ท่านผู้อ่านได้รับทราบ รับรู้ไว้บ้าง จะได้ไม่เชย
น้ำมันมะพร้าว เป็นน้ำมันจากพืชชนิดเดียวในโลก ที่มี “กรดลอริก” อยู่ในปริมาณที่สูงมาก (48-53 เปอร์เซ็นต์) และกรดชนิดนี้เองที่ทำให้น้ำมันมะพร้าวมีคุณสมบัติที่ดีเด่น และพิเศษกว่าน้ำมันพืชอื่นๆ ในการเสริมสุขภาพและความงามของมนุษย์

เมื่อร่างกายรับ “กรดลอริก” นี้เข้า จะเปลี่ยนเป็น “โมโนลอริน” ซึ่งเป็นสารตัวกับที่อยู่ในน้ำนมแม่ ที่ช่วย
สร้างภูมิคุ้มกันให้กับทารกในระยะ 6 เดือนแรก
 ที่ร่างกายยังไม่สร้างระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้เด็กระยะแรกเกิดไม่ค่อยเป็นโรคอะไร

โมโนลอริน เป็นสารปฏิชีวนะที่ทำลายเชื้อโรคทุกชนิด ที่ดีกว่ายาปฏิชีวนะที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน  ที่สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา ยีสต์ โปรโตซัว และไวรัส รวมทั้งเชื้อที่ก่อให้หลอดเลือดแข็งตัว เกี่ยวกับเรื่องนี้ ทำให้น้ำมันมะพร้าวมี่ข้อดีเด่น 3 ประการ 

เชื้อโรคที่ยาปฏิชีวนะทั่วไปทำลายไม่ได้ เพราะมัน “หัวแข็ง” เนื่องจากมีเกราะที่เป็นไขมันห่อหุ้มเยื่อของเซล น้ำมันมะพร้าวจะทำลายเกราะนี้ลงไ ด้ เพื่อเปิดโอกาสให้โมโนลอรินเข้าไปฆ่าทีหลัง
  1. น้ำมันมะพร้าว ไม่เพิ่มการดื้อยาของเชื้อโรค ดังเช่นยาปฏิชีวนะทั่วๆ ไป  ซึ่งมักจะเกิดปัญหาที่ต้องใช้ยาในอัตราที่สูงขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ใช้ไม่ได้อีก
  2. สารปฏิชีวนะในน้ำมันมะพร้าว ไม่เป็นพิษต่อมนุษย์ และจะถูกสร้างขึ้นในร่างกายของมนุษย์ เมื่อบริโภคอาหารที่มีกรดลอริก อีกทั้งไม่เป็นอันตรายต่อแบคทีเรียที่เป็นประโยชน์ในลำไส้
นี่แค่พูดกันถึงของดีที่อยู่ในน้ำมันมะพร้าวเพียงตัวเดียว ยังยอดเยี่ยมขนาดนี้ ยังมีของดีอีกมากมาย เช่น วิตามินอี ที่เป็นตัวต่อต้านอนุมูลอิสระ และใช้ในการสร้างเสริมความงามได้ตลอดทั้งตัว ตั้งแต่เส้นผม ถึงปลายนิ้วเท้าเลยทีเดียว
ช่วยลดอัตราการเกิดโรคหัวใจ เพราะน้ำมันมะพร้าว มีคอเลสเตอรอลน้อยมาก น้อยกว่าน้ำมันถั่วเหลืองและน้ำมันพืชตัวอื่นๆ ที่ใช้กันอยู่  และวิตามินอีในน้ำมันมะพร้าว จะช่วยลดความหนืดของเลือด ขยายหลอดเลือด และป้องกันการแข็งตัวของหลอดเลือด ที่เป็นสาเหตุของโรคหัวใจ 

ช่วยเร่งอัตราการเผาผลาญอาหาร หรือให้มีขบวนการเมตาบอลิซึมสูง เกิดเป็นพลังงานสำหรับใช้ในการดำรงชีวิต อีกทั้งยังช่วยทำลายไขมันที่ร่างกายสะสมอยู่ นำไปใช้เป็นพลังงาน ทำไห้ “ไม่อ้วน หรือสามารถลดความอ้วนได้ ถ้าอ้วนอยู่ก่อนแล้ว”ข้อนี้คงถูกใจสาวๆ และ สาวน้อยทั้งหลาย ที่มีปัญหาอยู่แน่ๆ
เมื่อเร่งขบวนการเผาผลาญอาหาร น้ำตาลก็ต้องถูกกำจัดไปด้วย ทำให้ร่างกายไม่สะสมน้ำตาล จึงเป็นการลดอัตราการเกิด “โรคเบาหวาน” หรือเป็นการควบคุมน้ำตาลในผู้ที่เป็นอยู่แล้ว
โรคต่อมลูกหมากโต ที่เป็นโรคที่สุภาพบุรุษสูงอายุเผชิญกันอยู่ ให้ใช้น้ำมันมะพร้าวมากินเลย ผมได้ให้คนไข้ที่เป็นโรคนี้มาช้านาน บอกเวลาปัสสาวะทีไม่ค่อยจะลงโถส้วม มันส่ายซ้ายทีขวาที ขึ้นบนลงล่าง มั่วไปหมด ปรากฏว่าอาการดีขึ้น ภายใน 10 วัน เคยตื่นขึ้นปัสสาวะ 7 ครั้ง ก็เหลือ 2 ครั้ง ปัสสาวะได้ครั้งละมากๆ
และยังช่วยและยับยั้งโรคอีกหลายโรค เช่น โรคปวดเมื่อย โรคชราภาพก่อนวัย โรคมะเร็งผิวหนัง  โรคกระดูก  โรคที่เกิดจากเชื้อต่างๆ  โรคผิวหนัง รังแคหนังศรีษะ ใช้ชโลมตัว ทำให้ผิวสวย ดูมีน้ำมีนวลขึ้น ประโยชน์มากมายเลย แล้วท่านจะไม่ลองใช้ดูบ้างหรือ ควรลองนะ ไม่น่าเสียหายอะไร

ใช้กินได้เลย วันละ 3- 4 ช้อนโต๊ะ ผสมใส่ชา หรือน้ำผลไม้ก็ได้ แต่แนะนำว่าให้เทใส่ช้อนเข้าปากเลย แล้วดื่มน้ำอุ่นๆ ตาม ไม่ยากลองดูสักเดือนสองเดือน ก็จะเห็นผลว่าดีหนือไม่
โดย หมอแดง ดิ อโรคยา


ต้องรักษาเท้าให้อุ่นไว้


คุณสมศรี คนไข้ได้สอบถามว่า เท้าตรงบริเวณข้างๆ ส้นเท้า
เวลาตื่นนอนขึ้นมาจะเป็นก้อนๆ รู้สึกเจ็บ เดินสักพักก็ดีขึ้น
แต่ที่เป็นก้อนยังมีอยู่

“ดื่มน้ำน้อย น้ำมาก หรือน้ำเย็นล่ะ” ผมถามคนไข้ เพราะบริเวณดังกล่าวเป็นแนวเส้นลมปราณของกระเพาะปัสสาวะ
และไต ถ้าดื่มน้ำเย็น น้ำน้อย น้ำมาก จะกระทบกับไตและกระเพาะปัสสาวะ ทำให้เกิดปัญหาตามแนวเส้นลมปราณดังกล่าว


“ไม่เลยค่ะหมอ หนูเคยพบหมอแล้ว และทำตามที่หมอแนะนำแล้ว จะเป็นที่ขาหนูเย็นไปไหมค่ะ

หนูก็ใส่ถุงเท้านอนนะ หรือจะเป็นที่หนูใส่กางเกงขาสั้นนอน
เปิดแอร์ด้วย ขาจึงเย็น เป็นไปได้ไหมค่ะ”เธอว่ามา
ก็นี่แหละครับปัญหา คงดูหนัง ดูทีวี เห็นนางเอกหนังเขาใส่กางเกงสั้นๆ หรือใส่กางเกงในนอนกัน คงจะทำตามเขา นั่นเป็นเรื่องในหนัง ในนิยาย เขาทำอย่างนั้นเพื่อจะโชว์ขาขาวๆ หรือบางทีจะเห็นว่า อากาศหนาวจะตาย นางเอกใส่เสื้อขนสัตว์กันหนาว ช่วงบนอุ่นดี แต่ช่วงล่างใส่กระโปรงสั้นจู๋ ปล่อยขาให้เย็นยะเยือก ขืนไปทำตามอย่างเขาก็คงต้องป่วยแน่


เมืองจีนก็หนาวเหมือนกัน เราจะเห็นว่า เขาจะห่อหุ้มช่างล่าง ใส่กางเกงขายาว 
ใส่รองเท้า ถุงเท้าทำให้อบอุ่น จะสนใจช่วงล่างมากกว่าช่วงบน

ภูเขาสูงนั้น ที่ตีนภูเขาจะอบอุ่น ยิ่งสูงขึ้นไปอาการก็จะยิ่งหนาวเย็นขึ้น 
เหมือนดังคำเปรียบเปรยที่เขาว่ากันว่า “ยิ่งสูงก็ยิ่งหนาว” ความร้อนความอุ่นจากตอนล่างจะค่อยๆ 
ไล่ความเย็นความชื้นขึ้นไปให้กลายเป็นเมฆฝน แล้วก็ตกลงมา เป็นพลังที่เคลื่อนเป็นวงจรวัฏจักร
ต่อเนื่องไปตลอดเวลา เหมือนกับรูปไทเก็กที่เป็นรูปปลา 2 ตัว สีดำตัว สีขาวตัว อยู่ในวงกลม 
หัวของตัวขาวจะอยู่ข้างล่าง ของตัวดำอยู่บน

คุณสมศรี คนไข้ท่านนี้ ใส่ถุงเท้านอน แต่ใส่ขาสั้นเปลือยท่อนขา เลียนแบบนางเอกหนัง 
แล้วนอนห้องแอร์ ท่อนขาก็เย็นซิครับ แล้วเลือดจะเดินผ่านไปที่เท้าได้อย่างไร 
ใส่ถุงเท้าก็คงช่วยอะไรไม่ได้  ควรให้ช่วงขาอบอุ่นไปตลอดทั้งขาและเท้าด้วย เลือดลมจะได้ไหล
เวียนไปเลี้ยงเท้าได้

คงเคยเห็นผู้ที่ปวดขา ปวดเข่า พอฝนตั้งเค้ามาก็จะปวดแล้ว หรือคนปวดก็จะเป็น
นักพยากรณ์อากาศได้เลย พอเริ่มมีอาการปวดขา ปวดเข่า ก็บอกกับชาวบ้าน 
ชาวช่องได้เลยว่าให้รีบเก็บเสื้อผ้าที่ตากแดดไว้นะฝนจะตกแล้ว เป็นการทำตัวให้มีประโยชน์
บทความโดย คุณหมอแดง ดิอโรคยา

สูตรน้ำผักปั่นเพื่อสุขภาพ

ในน้ำผักเป็นกรดอ่อน ๆ ที่มี คลอโรฟิลล์ ( Chlorophyll สารสีเขียวในพืช ) 
มีวิตามินเอ วิตามินซีธาตุเหล็ก โปแตสเซียม แมกนีเซียม และฟอสฟอรัส 

ซึ่งเมื่อทานเข้าไป จะเกิดการแลกเปลี่ยนการใช้สารอาหารได้สูงสุด ณ จุดที่
ร่างกายสามารถนำของ เสียทิ้งได้ทั้งหมด และทำให้ร่างกายสร้างพลังงานในแต่ละเซล
ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และส่งผลให้เกิดการ สร้างเซลใหม่ทดแทนเซลเก่าที่ตาย
ในแต่ละวันได้เต็มที่

ลักษณะนี้คือ ปัจจัยสูงสุดที่ร่างกาย จะไม่เกิดความอ่อนแอ ในทุกอวัยวะ

ดังนั้นเมื่อไปอยู่ในประเทศไหนก็แล้วแต่ ถ้าได้สัดส่วนของสารอาหารออกมา
เป็นกรดอ่อน มีคลอโรฟิลล์แล้วมีสารอาหารพวกโปแตสเซียม แมกนีเซียม แคลเซียม 
ฟอสฟอรัส เหล็ก ครบ 5 ตัวนี้

ในค่า pH = 4 และมีคลอโรฟิลล์ มีวิตามินเอ และวิตามินซี

ซึ่งจะทำให้ร่างกายสามารถมีอาหารได้เต็มที่ในแต่ละเซล ถ้าทุกเซลแข็งแรงไม่มี
เซลตายก็ไม่แก่เลย

ถ้าค่า pH เป็น "กรดเกินไป" การใช้แคลเซียมก็จะยาก "กรดอ่อน" ทำให้เกิดการใช้ไขมัน 
ทำให้ไขมันถูกย่อยสลายได้เร็ว ถ้าเป็น "ด่างเกินไป" การย่อยสลายไขมันก็ทำได้น้อย

ไขมันคือของแข็งที่มีปริมาณถึง 60% ของของแข็งทั้งหมดในร่างกาย ไขมันคือตัวที่
จะไปเปลี่ยนเป็นน้ำหล่อเลี้ยง น้ำเมือกที่ไปหล่อเลี้ยงตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
 น้ำไขข้อ เป็นไขกระดูก เป็นกล้ามเนื้อ เป็นกระดูก เส้นเอ็น ไขมันหล่อเลี้ยงเส้นผมเป็นลำดับ
pH ของน้ำผักที่เหมาะสมกับคนไทยอยู่ที่ pH 4-6 คนอ้วนมาก ให้น้ำผักที่ pH 4 เลย 
เนื่องจากคนอ้วนมีไขมันค้างอยู่ในลำไส้ใหญ่ น้ำผักจะเปลี่ยนไขมันเป็นโคเลสเตอรอล ไปเป็นไตรกลีเซอไรด์ และเป็นกลีเซอไรด์ในที่สุด ซึ่งร่างกายนำไปใช้ได้
การดื่มน้ำผัก .......ช่วยอะไร ? 
เรื่อง : ชมรมบ้านสุขภาพ

การดื่มน้ำผัก การเติมสารอาหารประเภทวิตามิน เกลือแร่จำเป็นและที่สำคัญคือ 
คลอโรฟิลล์ เมื่อดื่มเข้าไปแล้วส่วนที่ต้องถูกดูดซึม ก็จะไป "ฟื้นฟูตับ" มันจะไปก่อน 
พอ "น้ำตับหลั่ง" น้ำตับอ่อนก็หลั่ง การย่อยคาร์โบไฮเดรต ไขมัน เกลือแร่ 
และวิตามินก็จะทำได้มากขึ้น ในขณะที่ตัวมันไปย่อยไขมันส่วนที่ เก่าส่วนหนึ่ง 
แล้วเปลี่ยนรูปไปเป็นพลังงาน ดังนั้นร่างกายก็ได้พลังงานมาสนับสนุนให้อวัยวะต่าง ๆ 
ทำงานได้มากกว่าเดิม

น้ำผักสูตรบ้านสุขภาพเป็นน้ำผลไม้ผักสด จึงช่วยล้างสิ่งปฏิกูลในร่างกายตลอดจนสารพิษต่าง ๆ
อย่างรวดเร็ว ซึ่งปรากฏการณ์ที่สังเกตได้ คือ ลดอาการปวดต่าง ๆ จากอาการท้องเสีย หรือมีของเสีย 
ค้างอยู่ในระบบเลือดมากจนปวดตามกล้ามเนื้อ อาการปวดหลังดังกล่าวจะลดลง ลดอาการปวดศีรษะ 
ลดไข้ ลดความอ่อนเพลีย ลดอาการนอนหลับยาก ลดอาการนอนกรน

ซึ่งอาการที่ดีขึ้น คือ ขบวนการที่ร่างกาย ชะล้างของเสียออกได้ดีขึ้น ซึ่งอาการดังกล่าว 
ไม่ควรเก็บกดได้ด้วยการใช้ยาระงับปวด ซึ่งเป็นการไปหยุดความ สามารถในการ ชะล้างของร่างกาย 
ทำให้เกิดสารพิษมากขึ้นในทุกระบบของร่างกาย และแพร่กระจาย สะสมจนก่อเกิดเซลมะเร็ง
การกินน้ำผักก่อนเป็นการเตรียมร่างกายให้ย่อยสารอาหารที่เรากินลงไปได้ดีกว่าเดิม นั่นคือ 
เกิดสภาวะดีกับร่างกายทั้งระบบ สรุป น้ำผักทำหน้าที่ 2 อย่างในเวลาเดียวกันคือ

1. ให้สารอาหารที่ร่างกายนำไปฟื้นฟู ตับกับตับอ่อน
2. กระตุ้นให้ร่างกายพร้อมในการ ย่อยไขมันที่เหลือค้างอยู่ เปลี่ยนรูปไปเป็นพลังงานทำให้
ร่างกายเตรียมพร้อมที่จะย่อยสารอาหารที่รับประทานเข้าไปในมื้อต่อไป
ส่วนประกอบของน้ำผักและประโยชน์
เรื่อง : ชมรมบ้านสุขภาพ
น้ำผักมีสารอาหารแร่ธาตุที่ช่วยฟื้นฟูการทำงานของอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย 
ช่วยการทำงาน 5 ระบบ คือ ระบบดูดซึม ระบบทางเดินหายใจ ระบบหมุนเวียนโลหิต 
ระบบภูมิคุ้มกัน และระบบต่อมไร้ท่อ

ผักกาดหอม
ช่วยฟื้นฟูเซลโดยเฉพาะระบบประสาทและเซลในปอด
ช่วยบำรุงกล้ามเนื้อ กระดูก เส้นเอ็น ช่วยบำบัดโรคโลหิตจาง

คื่นฉ่าย

ช่วยฟื้นฟูระบบประสาทและฟื้นฟูการสร้างเซลเม็ดเลือด ช่วยชะล้างของเสียในระบบเลือด
ช่วยให้ร่างกายมีความสามารถใช้แคลเซียมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยลดอาการเจ็บปวด
ของระบบข้อเสื่อมต่าง ๆ

มะเขือเทศ
ช่วยทำให้เม็ดเลือดแดงแข็งแรง ช่วยทำให้ผิวพรรณดี เพิ่มภูมิต้านทานของร่างกายมี
สารช่วยย่อยอาหาร ทำให้เยื่อบุกระเพาะ ลำไส้ทำงานเป็นปกติ

หอมหัวใหญ่ 
ช่วยทำให้หัวใจแข็งแรง

มะนาว
ช่วยฟื้นฟูภูมิคุ้มกัน

น้ำผึ้ง
ให้พลังงานสำรองกับม้าม

อัตราส่วนของผักที่จะใส่น้ำผักปั่น
ผักกาดหอม 2 ใบ คื่นฉ่าย 2 ก้าน มะเขือเทศ 1 ลูก ( เส้นผ่าศูนย์กลาง 1 นิ้ว )
หอมหัวใหญ่ 1/4 ลูก ( เส้นผ่าศูนย์กลาง 1 นิ้ว ) น้ำผึ้ง 2 ช้อน
เสาวรส หรือ มะนาว 1 ลูก แอปเปิ้ล 1/2 ลูก น้ำสะอาด 2 แก้ว

วิธีทำ
1. นำส่วนประกอบที่กล่าวในข้างต้นใส่ลงในโถปั่น
2. ปั่นน้ำผักเป็นเวลาประมาณ 20 วินาที
3. เทน้ำผักที่ปั่นแล้วลงในแก้ว ( จะได้น้ำผักปั่น 2 แก้ว )
หมายเหตุ ควรดื่มทันทีเพื่อสงวนคุณค่าทางอาหาร

ขอบคุณข้อมูลจาก ชมรมบ้านสุขภาพ

วันศุกร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ยาสมุนไพรแก้โรคมะเร็ง


ยาสมุนไพรแก้โรคมะเร็ง


ขนานที่ ๑ ท่านให้เอาหัวยาข้าวเย็นเหนือ ๑ หัวยาข้าวเย็นใต้ ๑ กำมะถันเหลือง ๑ ตัวยาทั้งสามอย่างนี้เอาหนักอย่างละ ๔ บาทเท่ากัน กะลามะพร้าวแก่ ( ผ่าเป็นสี่ส่วนเอาสามส่วน ) ตัวยาทั้งสี่อย่างนี้นำมาใส่หม้อดินต้มกับน้ำพอสมควรใช้น้ำยารับประทานต่างน้ำชาจนน้ำยาจ
มีสรรพคุณ แก้โรคมะเร็งได้ผลดีอย่างชะงัดนักแล เคยใช้รักษาหายมามากแล้ว ฯ

ขนานที่ ๒ ท่านให้เอากระดูกงูเห่า ๑ หัวยาข้าวเย็นเหนือ ๑ หัวยาข้าวเย็นใต้ ๑ ทิ้งถ่อน ๑ แก่นมะเกลือ ๑ มะเดื่อปล้อง ๑ ยาทั้งหกอย่างนี้เอาอย่างละเท่าเท่ากันนำมาใส่หม้อดินต้มกับน้ำพอ สมควรใช้น้ำยารับประทานครั้งละ ๑ ถ้วยชา เวลาก่อนอาหาร วันละสามเวลา
มีสรรพคุณ แก้โรคมะเร็งทุกอย่าง เป็นยาตัดรากโรคมะเร็งให้หายขาด เคยใช้รักษาหายมามากแล้วได้ผลดีอย่างชะงัดนักแล 

ขนานที่ ๓ ท่านให้เอาใบต้นหนอนตายอยาก หนัก ๑ บาท เปลือกต้นกุ่ม หนัก ๑ บาท หัวยาข้าวเย็นเหนือ หนัก ๑ บาท หัวยาข้าวเย็นใต้ หนัก ๑ บาท ดินประสิว หนัก ๒ ตำลึง สารส้ม หนัก ๑ บาท กำมะถัน หนัก ๑ บาท ตัวยาทั้งเจ็ดอย่างนี้นำมาใส่หม้อดินต้นกับน้ำพอสมควรใช้น้ำยารับประทานครั้งละหนึ่งถ้วยชา เวลาเช้า กลางวัน เย็น วันละสามเวลา ประมาณ ๓๐ วัน
มีสรรพคุณ แก้โรคมะเร็งในกระดูก ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแล ฯ

ขนานที่ ๔ ท่านให้เอา ต้นพลูแก่ ๆ ( พลูกินกับหมาก ) ๑ ใบพลูแก่ ๆ ๑ ดอกพลู ๑ รากพลู ๑ ตัวยาทั้ง ๔ อย่างนี้เอาอย่างละเท่าเท่ากันนำมาล้างน้ำให้สะอาดใส่หม้อดินต้นกับน้ำพอสมควรใช้น้ำยารับประทาน เวลาเช้า - เย็น วันละ ๒ ครั้ง
มีสรรพคุณ แก้โรคมะเร็งได้ผลดีอย่างชะงัดนักแล ฯ

ขนานที่ ๕ ท่านให้เอา ลูกลำโพงกาสลัก ( ลูกแก่ ๆ ) ๑ ลูกกระเบา ( ลูกแก่ ๆ เอาเฉพาะเมล็ดใน ) ๑ ขมิ้นอ้อย ๑ ยางไม้ตะเคียน ๑ ตัวยาทั้งสี่อย่างนี้เอาอย่างละเท่าเท่ากันนำมาตากแดดให้แห้งบดเป็นผงหุงด้วยน้ำมันงาบนเตาแกลบ (ใช้แกลบเป็นเชื้อเพลิง) ใช้ทารักษาแผลโรคมะเร็งผิวหนัง ภายนอกหรือใช้ทารักษาแผลเชื้อราทุกชนิด มีสรรพคุณ ชะงัดนักแล ฯ

ขนานที่ ๖ ท่านให้เอา รากต้นเตย ๑ หัวจุกสับปะรด ๑ รากต้นมะเฟือง ๑ หัวยาข้าวเย็นเหนือ ๑ หัวยา ข้าวเย็นใต้ ๑ ข้าวเปลือกข้าวเจ้า ๑ ตัวยาทั้งหกอย่างนี้เอาอย่างละเท่าเท่ากันนำมาใส่หม้อดินต้มกับน้ำพอสมควรใช้น้ำยารับประทานครั้งละหนึ่งถ้วยชา
มีสรรพคุณ แก้โรคมะเร็งซึ่งผู้ป่วยมีอาการท้องอืดรับประทานอาหารไม่ได้เป็นเวลานานแล้วเมื่อรับประทานยานี้แล้วจะทำให้หายอาการป่วยนั้น เคยใช้รักษาได้ผลดีมามากแล้ว ฯ

ขนานที่ ๗ ท่านให้เอา หัวยาข้าวเย็นทั้งสอง ( คือ หัวยาข้าวเย็นเหนือ ๑ หัวยาข้าวเย็นใต้ ๑ ) 

๑ กระดูก ควายเผือก ๑ กำมะถันเหลือง ๑ ขันทองพยาบาท ๑ หัวตันหนอนตายอยาก ๑ ตัวยาทั้งหกอย่างนี้เอาหนักอย่างละ ๒๐ บาทเท่าเท่ากัน เง้าสับปะรด หนัก ๑๐ บาท กระดูกม้า หนัก ๔ บาท ต้นพริกขี้หนู ๑ ต้น ( เอาทั้งต้นตลอดถึงราก ) ผิวไม้รวก ( ขูดเอาเฉพาะผิว ) ๓ กำมือ ตัวยาทั้งสิบอย่างนี้นำมาใส่หม้อดินต้มกับน้ำพอสมควรใช้น้ำยารับประทานครั้งละหนึ่งถ้วยชา เวลาหลังอาหารวันละสามเวลา
มีสรรพคุณ แก้โรคมะเร็ง แก้โรคแผลกลาย แก้โรคฝีทุกชนิด แก้โรคไอ แก้โรคเลือดออกจากหลอดลม รักษาแผลในหลอดลม แผลในลำไส้ ได้ผลดีชะงัดนักแล ฯ

ยาแก้โรคมะเร็งในมดลูก

ท่านให้เอา หัวยาข้าวเย็นเหนือ ๑ หัวยาข้าวเย็นใต้ ๑ ตันหนอนตายอยาก ๑ รากนมแมว ๑ หัวพุทธรักษา ( สีขาว ) ๑ ตัวยาทั้งห้าอย่างนี้เอาอย่างละ ๔ บาทเท่ากัน เกลือทะเล ( เกลือใส่แกง ) ๑ กำมือ นำมาใส่หม้อดินต้มกับน้ำพอสมควรใช้น้ำยารับประทานครั้งละ ๑ ถ้วยชา
มีสรรพคุณ แก้โรคมะเร็งในมดลูก ได้ผลดีชะงัดนักแล ฯ

ยาแก้โรคเส้นท้องตึงเป็นเถาดาน

ขนานที่ ๑ ท่านให้เอา ต้นตะไคร้ ๑ ต้น ดีปลี ๑๒ ดอก พริกไทยร่น ๓๖๐ เม็ด ตัวยาทั้งสามอย่างนี้น้ำมาตำเป็นผงผสมกับน้ำผึ้ง ใช้รับประทานวันละ ๓ เวลา
มีสรรพคุณ แก้โรคเส้นท้องตึงเป็นเถาดานรับประทานอาหารไม่ได้ขับลมในท้องและบำรุงเครื่อง สืบพันธุ์ให้มีสมรรถภาพแข็งแรงดีอีกด้วย

ขนานที่ ๒ ท่านให้เอา ข้าวเหนียวดำ ( ดิบ ๆ ) กับพริกไทยร่น ตัวยาทั้งสองอย่างน้ำเอาอย่างละ ๑ ฝาเบียร์ ( อย่างละหยิบมือ ) น้ำมาตำให้ละเอียดผสมกับน้ำผึ้งแท้ใช้รับประทานเฉพาะวันเสาร์เวลาก่อนนอน
มีสรรพคุณ แก้โรคเส้นท้องตึง เส้นยึดเจ็บปวดให้หายไปอย่างชะงัดนักแล 

สูตรยาสมุนไพรแก้โรคเบาหวาน

สูตรยาสมุนไพรแก้โรคเบาหวาน
สวัสดีครับทุกคน ตอนนี้ผมขอนำสูตรยาสมุนไพรดีๆ มาบอกครับ

ต้องเริ่มเรื่องจาก " อาม่า " หรือ " ยาย " ของผมที่ปัจจุบันอายุ 91 ปี แล้ว และก่อนหน้านี้ อาม่าของผม ซึ่งอายุมากแล้ว คนแก่จะมีโรคประจำตัวหลายโรค โรคเบาหวานก็เป็นโรคยอดฮิตอีกโรคที่คนแก่เป็นกันมาก คนไทยเป็นโรคนี้กันมาก

โรคเบาหวาน เป็นต้นเหตุ และปัจจัยทำให้เกิดผลกระทบมากมาย จนอาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตในที่สุด เช่น ผู้ป่วยอาจไม่สามารถเข้ารับการผ่าตัดได้ เพราะเป็นเบาหวาน เป็นต้น อาม่าของผมได้ทานยาสมุนไพรสูตรหนึ่ง และไม่น่าเชื่อว่าได้หายจากโรคเบาหวานแล้ว ทั้งที่อายุมากแล้ว หลายปีก่อนเกิดอุบัติเหตุกับท่าน จึงมีความจำเป็นที่ต้องเข้ารับการผ่าตัด บริเวณกระดูกเชิงกราน ส่วนข้อต่อกระดูก คือต้องใส่ข้อเทียม

อาม่าผมอายุมากแล้ว แต่ก็สามารถเข้ารับการผ่าตัดได้ และฟื้นตัวค่อนข้างเร็ว และยังสามารถเดินระยะสั้นๆ ได้อีก การที่ไม่เป็นเบาหวานก็เป็นปัจจัยที่ทำให้ผ่าตัดได้ครับ

สูตรยาที่ผมจะบอกทุกคนคือ

1. นำใบเตย 24 ใบ มาซอยเป็นชิ้นเล็กๆ ตากแดดซัก 2-3 แดดให้แห้งสนิท ไม่มีความชื้น

2. นำใบสัก 7 ใบ ที่ยังอยู่บนต้นสัก ไม่ตกลงพื้น มาตากแดดซัก 2-3 แดดจนแห้ง ซึ่งจะกรอบ และทำให้เป็นชิ้นเล็กๆ

3. นำใบเตย และใบสักที่แห้งสนิท ตามสัดส่วนมาผสมให้เข้ากัน เก็บในภาชนะปิดสนิท เช่นขวดกาแฟ เป็นต้น

4. นำใส่แก้ว เติมน้ำร้อน หรือใส่กาน้ำชา ดื่มคล้ายน้ำชา เริ่มจากวันละ 1 แก้ว ช่วงไหนของวันก็ได้ จนเป็น 3 แก้วต่อวัน

5. คอยสังเกตุ ติดตามผลการตรวจวัดน้ำตาล จากโรงพยาบาล ว่าค่าน้ำตาลลดลงหรือไม่ เพราะถ้าน้ำตาลลดลงจนอยู่ในเกณฑ์ปกติแล้ว ให้หยุดดื่มน้ำชาสูตรพิเศษนี้ทันที เพราะถ้าดื่มต่อ อาจทำให้ค่าน้ำตาลต่ำ ซึ่งก็ไม่ดีอีก

6. จากนั้นคอยติดตามผลการวัดค่าน้ำตาลจากทางโรงพยาบาลต่อ ถ้าค่าน้ำตาลขึ้นอีก ก็เริ่มดื่มน้ำชาสูตรนี้ใหม่อีกครั้ง อดทนปฏิบัติเช่นนี้ไปเรื่อยๆ นานๆ เข้าก็จะสามารถหายจากโรคเบาหวานได้

7. ข้อควรระวังคือ ถ้าผู้ป่วยที่ดื่มน้ำชาสูตรพิเศษนี้ มีอาการ " ปัสสาวะขัด " แสดงว่าไม่ถูกกันให้หยุดดื่มทันทีครับ หรือถ้าเกิดสิ่งผิดปกติอื่นใดที่สังเกตุเห็นได้อย่างชัดเจน ก็ควรหยุดเช่นกัน สุดท้ายถ้าดื่มแล้วไม่สบายใจ ผมก็แนะนำให้หยุดเช่นกัน

ผมหวังว่า น้ำชาสมุนไพร แก้โรคเบาหวานนี้ คงเป็นประโยชน์กับผู้อ่านบ้างไม่มากก็น้อย ที่สำคัญ อาม่าของผมก็หายมาแล้ว

ผมขออุทิศผลบุญกุศลที่จะช่วยผู้ป่วยที่กำลังเป็นโรคเบาหวาน แล้วดีขึ้น หรือหายจากโรคนี้ ให้แก่ผู้คิดค้น และบอกต่อๆ กันมา รวมทั้งเจ้ากรรมนายเวรของข้าพเจ้า บิดา-มารดา คุณปู่-คุณย่า คุณตา-คุณยาย อากง-อาม่า ครู-อาจารย์ ผู้มีพระคุณ เพื่อน คนที่ข้าพเจ้ารัก สัตว์น้อย-ใหญ่ที่เคยเบียดเบียนครับ

ขอบคุณครับ

ข้อมูลดีๆ จาก ปรีดา ลิ้มนนทกุล ที่มา http://alittleofknowledge.blogspot.com/2007/06/little-2.html

มะรุม ของดีที่คุณแม่ให้นมลูกไม่ควรพลาด

มะรุม เป็นพืชสมุนไพรที่มีประโยชน์ในเรื่องต่างๆ มาก เช่น เป็นสมุนไพร ที่ช่วยแก้อาการอักเสบ มีวิตามินซีสูง แคลเซียมสูง ในที่นี้จะกล่าวถึงประโยชน์ที่มีต่อมารดาที่ให้นมบุตร เป็นประสบการณ์ที่ได้ผลกับตนเองค่ะ
ในบรรดาสมุนไพรที่ช่วยเร่งน้ำนม ขับน้ำนม ให้มีน้ำนมให้ลูกดื่มเยอะๆ มีหลายอย่าง เช่น ขมิ้น บวบ ผักต่างๆในแกงเลียง หัวปลี ซึ่งบางอย่างก็ช่วยได้ไม่ค่อยมาก ผึ้งเองเป็นคนที่ให้ลูกดูดนมแม่ ก็ลองสารพัดสมุนไพร ได้ผลบ้าง ไม่ได้ผลบ้าง พอลูกอายุเลย 1 ขวบ ความถี่ในการดูดนมแม่ก็เริ่มลดลง เพราะต้องทานอาหาร 3 มื้อ นมแม่จึงเป็นแค่อาหารเสริม ปริมาณน้ำนมก็เลยค่อยๆลดลงเรื่อยๆ
พอลูกอายุ 1 ขวบครึ่ง ก็ได้สมุนไพรมะรุม แบบบรรจุแคปซูลมาทาน หวังผลในเรื่องของการบำรุงร่างกาย แต่ปรากฏว่า น้ำนมจากที่ใกล้จะหมดเต็มทน ก็กลับเต็มเต้า เกิดการคัด บางทีก็หยดแหมะๆเวลาลูกทาน หรือเวลาลูกดูดข้างนึง แล้วเอามือเล่นอีกข้างนึง น้ำนมก็พรุ่งปรี๊ดเลยค่ะ ตั้งแต่นั้นมาเลยกินมะรุมมาตลอด เพราะลูกชายเป็นเด็กทานอาหารค่อนข้างน้อย เลยยังไม่อยากหย่านม เพราะกลัวร่างกายเค้าขาดสารอาหาร และด้วยความที่มะรุมมีสารอาหารต่างๆในปริมาณที่สูง มีส่วนช่วยให้น้ำนมของเรามีคุณภาพดีตามไปด้วยค่ะ สำหรับแม่ๆท่านไหนที่ต้องการให้น้ำนมมาเยอะๆ ลองไปหามาทานดูนะคะ ถ้าแบบบรรจุเสร็จแล้ว ราคาอาจแพงสักหน่อย กระปุกละ 100-200 บาท แต่ผึ้งไปหาแบบเป็นกิโลมาบรรจุแคปซูลเอง คุ้มค่ากว่ามากค่ะ กิโลนึง ราคาประมาณ 300 บาท กินได้นานโขเลยค่ะ

ใช้นมอะไรเลี้ยงคีเฟอร์ถึงจะอร่อยสุด

จากประสบการณ์ส่วนตัว เปลี่ยนนมที่ใช้เลี้ยงคีเฟอร์มาหลายยี่ห้อ ขอแชร์ประสบการณ์ดังนี้นะคะ

1. ตอนแรกเราใช้นมโฟโมสท์ยูเอชที เพราะมีรสชาติมันๆที่สุด แต่ก็เปรี้ยวที่สุดเช่นกัน โดยรวมแล้วอร่อย แต่ช่วงหลังเหมือนเค้าปรับสูตร ความมันน้อยลง ความเปรี้ยวมากกกมาแทนที่ เราเลยเปลี่ยนยี่ห้อเลยค่ะ

2.นมพาสเจอร์ไรส์ ก็เคยใช้ค่ะ รสเปรี้ยวพอประมาณ อร่อยเหมือนกัน แต่ข้อเสียคือเก็บไม่ได้นาน เลยไม่ค่อยนิยมใช้ค่ะ

3.ไทยเดนมาร์คยูเอชที รสจืด อันนี้ได้กลิ่นที่หอมค่ะ ไม่เหม็นบูด รสเปรี้ยวน้อยกว่าโฟโมสท์ ไม่ค่อยมัน แต่ก็อร่อยค่ะ

4.นมจิตรลดา อันนี้จะใกล้เคียงกับไทยเดนมาร์คค่ะ หลายๆคนก็นิยมใช้นมจิตร เราว่าก็โอเคนะ ซื้อที่เซเว่นก็ถูกดี แค่แพ็คละ 50 บาท แต่มีข้อเสียนิดหน่อยที่เรารู้สึกคือ ถ้ากินนมโยเกิร์ตไม่หมด เก็บไว้ในตู้เย็น 2-3 วัน กลิ่นของนมก็จะตุๆนิดนึง แต่ยังไม่เสียนะ กินได้เหมือนเดิม

สรุปปัจจุบันนี้ นมที่ผึ้งใช้เลี้ยงคีเฟอร์ คือนมไทยเดนมาร์ค อร่อยสุดแล้วสำหรับผึ้งค่ะ

น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นกับoil pulling

หลายๆคนคงจะเคยได้ยินเกี่ยวกับการเอาน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นมาทำ oil pulling กันมาบ้างแล้วนะคะ แต่สำหรับบทความนี้ผึ้งจะพูดถึงเกี่ยวกับประสบการณ์ส่วนตัวในเรื่องนี้ค่ะ

ผึ้งได้นำเอาน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นมาบ้วนปาก แทนการใช้น้ำยาบ้วนปาก พบว่าได้ผลดีมากในเรื่องกำจัดกลิ่นเหม็นตามซอกฟัน ลิ้น ช่องปาก เพราะจากความรู้ที่ได้อ่านมาหลายๆที่ กล่าวว่า เชื้อโรคในปากเรา มีผิวด้านนอกที่มีไขมันเป็นส่วนประกอบ เมื่อนำเอาน้ำมันบริสุทธิ์(น้ำมันอื่นๆก็ได้) มาบ้วนปาก ไขมันจากน้ำมัน ก็จะไปจับกับไขมันของเชื้อโรค พอเรากลั้วๆๆไปสัก 2-3 นาทีให้ทั่วปาก เชื้อโรคก็จะถูกดึงมาด้วย อันนี้เป็นศาสตร์ของทางอินเดียเค้านะคะ ทำบ่อยๆ จะช่วยลดกลิ่นปากและลดเชื้อโรคในช่องปาก บางคนบ้วนกันวันละหลายรอบเช้า กลางวัน เย็น เลยก็มีค่ะ

วันจันทร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2553

KOMBUCHA โพรไบโอติกอีกอย่างหนึ่งที่เป็นที่นิยมในเมืองนอกค่ะ




Kombucha

สำหรับคนไทยอาจไม่ค่อยคุ้นเคยนะคะ แต่ถ้าหาข้อมูลในกูเกิ้ลจะพบว่าในอดีตหลายๆคนก็อาจเคยเลี้ยงเห็นน่าตาอย่างนี้กันมาแล้ว ซึ่งมีชื่อเรียกหลายชื่อ เช่น เห็นรัสเซีย เป็นต้น
ซึ่งถ้าศึกษาจากข้อมูลของต่างประเทศ(หาข้อมูลได้จากกูเกิ้ล และยูทูป) จะมีข้อมูลเกี่ยวกับประโยชน์ของโพรไบโอติกชนิดนี้มากมาย โดยเฉพาะในยูทูปจะมีคลิปวิธีการเลี้ยงมากมายเลยค่ะ น้ำชาที่ผ่านการเลี้ยงจากเห็นนี้จะมีรสอมเปรี้ยวอมหวาน และมีความซ่าส์คล้ายๆน้ำอัดลมค่ะ ก็อร่อยพอสมควร ก็เลยเป็นที่นิยมกันมากค่ะ

สำหรับในภาพที่เอามาลงนี้เป็นKombucha ที่ผึ้งเลี้ยงไว้อยู่ค่ะ โดยผึ้งสั่งมาจากเว็บอีเบย์ค่ะ เลี้ยงไว้ 3-4 โหล ก็เลยได้เห็นหลายๆแผ่นเร็วหน่อย ส่วนวิธีเลี้ยงก็ดังนี้ค่ะ

วิธีเลี้ยง kombucha

สิ่งที่ต้องเตรียม
1. ชาที่เป็นซอง ควรเป็นชาออแกนิคนะคะ(เพื่อความสะดวกค่ะ) ในที่นี้ผึ้งนิยมใช้ ชาลิปตันค่ะ ควรเน้นที่เป็นชาออแกนิค เพราะชาบางตัวผ่านกระบวนการหมักมา ทำให้การสร้างแผ่นเห็ดไม่ดีเท่าที่ควร ที่ฝรั่งเค้านิยมกันก็จะเป็นชาดำ และชาเขียวค่ะ

2. ขวดโหลแก้ว (ต้องเป็นแก้วเท่านั้น พลาสติกหรือโลหะไม่ได้เด็ดขาดค่ะ)

3. น้ำตาลทรายขาว ปกติก็ใช้ 1 ถ้วยตวง ต่อน้ำชา 1 ขวดโหล แต่ถ้าน้ำชามากกว่านั้น(แบบว่าหมักหลายโหล ก็ต้องเพิ่มน้ำตาลค่ะ)

4. ผ้าสำหรับปิดปากโหล พร้อมยางไว้รัดผ้าค่ะ

5. แผ่นเห็ด kombucha ที่มาพร้อมกับ start tea (ชาจากการหมักรอบเก่า หรือเรียกว่าชาตั้งต้น)

เริ่มกันเลย!!

ก่อนอื่น แผ่น kombucha ที่ได้มา จะมาพร้อมกับชาตั้งต้น โดยแช่มาในน้ำชา ซึ่งอยู่ในซองพลาสติก เราก็นำมาเทใส่จานรอไว้ก่อนค่ะ เอาฝาปิดไว้ด้วยนะคะ กันมดแมลง ชาที่ได้มาก็อย่าทิ้งนะคะ

เตรียมชาหวาน โดยการนำน้ำไปต้มในหม้อ กะปริมาณที่ต้องการใส่โหล พอเดือด ก็ใส่น้ำตาลลงไป คนให้น้ำตาลละลาย จากนั้นก็ปิดเตาแก๊ส แล้วก็เอาถุงชาใส่ลงไปแช่ประมาณ 3 ถุง ตั้งทิ้งไว้จนเย็น ก็นำน้ำชาหวานนี้เทใส่ลงในโหล ให้เหลือพื้นที่สัก 1 ส่วน 4 หรือ 1 ส่วน 3 นะคะ
จากนั้นก็นำชาตั้งต้น เทใส่ลงในชาหวาน (ปกติใช้ชาตั้งต้น 1 ถ้วยตวง) แล้วก็นำแผ่นเห็นค่อยๆวางลงบนน้ำชาอย่างบรรจง อย่าให้เอียงหรือพับนะคะ แล้วก็เอาผ้ามาปิดปากโหล และรัดหนังยาง ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อยค่ะ ตั้งทิ้งไว้ในอุณหภูมิห้อง 7-14 วัน อย่าเขย่าโหล อย่าเคลื่อนไหว เพราะช่วงนี้เค้ากำลังสร้างเห็ดแผ่นใหม่อยู่ค่ะ พอครบกำหนดก็จะได้เห็นแผ่นใหม่ขึ้นมาค่ะ

วันอาทิตย์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2553

น้องสาวของผึ้งกับโยเกิร์ตบัวหิมะ

ปกติน้องสาวของผึ้งก็เป็นโรคภูมิแพ้เหมือนกับผึ้งและแม่ แต่จะเป็นหนักกว่าในเวลาตอนเช้า คือทุกเช้าตอนเข้าห้องน้ำ น้องสาวผึ้งจะมีอาการไอ จาม เสียงดังมาก ตลอดเวลาที่อาบน้ำ ก็ไอ จาม อยู่อย่างนั้นจนผึ้งกลัวว่าเจ้าลูกชายจอมแสบของผึ้งจะตื่น แต่ช่วงหลังมานี่ตั้งแต่ที่น้องสาวได้กินโยเกิร์ตที่ผึ้งกรองเก็บไว้ในตู้เย็น ก็ไม่ได้ยินเสียงไอจามตอนอยู่ห้องน้ำอีกเลย ซึ่งน้องสาวผึ้งก็ไม่รู้ตัว ผึ้งเองก็ยังไม่บอกเค้านะคะว่าเจ้าโยเกิร์ตตัวนี้ช่วยเรื่องภูมิแพ้ได้ เก็บเงียบเอาไว้คนเดียวก่อนแล้วคอยสังเกตน้องสาวไปเรื่อยๆ จนแน่ใจแล้วว่าอาการของน้องสาวลดลงจริงๆ ผึ้งจึงได้ลองถามเค้าดู เค้าก็บอกว่า "เออ ว่ะ อาการหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ยังไม่รู้เลยเนี่ย" "มันช่วยเรื่องภูมิแพ้ด้วยเหรอ" ผึ้งก็บอก "อืม ช่วยได้ แต่ตอนแรกยังไม่บอกเพราะไม่อยากให้คิดไปเองว่ามันช่วยได้" แต่ก็ไม่ได้หาย 100% นะคะ แค่ช่วยให้ดีขึ้นได้สัก 80% ค่ะ สำหรับผึ้งก็ถือว่าโอเคแล้วค่ะ

วันอังคารที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เจ้าเป๋าตุงกับน้ำหมักเอ็นไซม์และโยเกิร์ตคีเฟอร์


เจ้าเป๋าตุง สุนัขพันธุ์ชิสุห์ผสม ปัจจุบันอายุ 3 ปี มีโรคประจำตัว เป็นโรคตับ โรคเลือดจาง พยาธิในเลือด อันเนื่องมาจากเห็บหมัด เป็นหมาที่กินยายากมากๆๆๆๆ ตามป้อนลำบากเพราะเค้าจะบ้วนยาเม็ดเก่ง ต้องคอยตำเป็นผงแล้วตามป้อน พอช่วงไหนไม่ได้ป้อนยา อาการก็จะกำเริบ โดยมีผื่นแดงๆขึ้นที่ท้อง ตาแดงๆ ซึ่งเป็นอาการของพยาธิในเลือด และเลือดจาง 



พอได้รู้จักกับการหมักน้ำเอ็นไซม์ และมีคนเคยนำมาผสมน้ำให้สุนัขกิน แล้วอาการป่วยดีขึ้น ผึ้งก็เลยเอาบ้าง เอาน้ำเอ็นไซม์ที่ผึ้งและคนในบ้านหมักกินกันเองอยู่แล้ว มาหยดผสมน้ำให้เป๋าตุงกิน ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ก็ไม่ต้องกินยาอีกเลย และอาการก็ไม่กำเริบมานานมากแล้ว เราเลยสบายหน่อย สบายตรงที่ไม่ต้องมานั่งป้อนยา และสบายกระเป๋าเพราะยาแพงมาก 

ตอนนี้ผึ้งก็ได้ลองให้เป๋าตุงกินโยเกิร์ตคีเฟอร์ ซึ่งเค้าชอบมากๆๆๆ ขอกินทุกวันเลย เท่าที่หาข้อมูลดู พบว่าโยเกิร์ตคีเฟอร์ช่วยเรื่องโรคตับได้ดีมาก เราก็เลยคิดว่า ขนาดคนกินยังช่วยเรื่องตับได้ ถ้าให้หมากินก็ต้องช่วยได้เหมือนกันสิ นี่ก็กินมาเป็นอาทิตย์แล้ว ผลที่ได้ตอนนี้รู้สึกว่าเค้าจะหิวเก่งขึ้นมาก ปกติเป็นหมากินอาหารยาก ตอนนี้กินเก่งขึ้นเยอะเลย แต่ผลเรื่องอื่นคงต้องรอดูต่อไป แล้วจะมาอัพเดทอีกทีนะคะ

วิธีเลี้ยงบัวหิมะ(คีเฟอร์น้ำ)


วิธีเลี้ยงคีเฟอร์น้ำง่ายมากค่ะ และประหยัดกว่าการเลี้ยงคีเฟอร์นมมากค่ะ 




หน้าตาของคีเฟอร์น้ำที่ผึ้งเลี้ยงค่ะ ผึ้งสั่งจาก ebay มาเลยค่ะ เพราะลองเอาคีเฟอร์นมมาปรับดูแล้วไม่รอดค่ะ ตายเรียบ เลยสั่งคีเฟอร์น้ำมาโดยเฉพาะ
ขั้นตอนแรกก็เติมน้ำตาลทรายแดงลงไปในโถ จะใช้น้ำตาลทรายขาวก็ได้ แต่มันมีสารฟอกขาวผึ้งเลยไม่ใช้ค่ะ แล้วก็เติมน้ำดื่มลงไป คนให้เข้ากัน




แล้วก็เอาตัวคีเฟอร์น้ำใส่ลงไปเลยค่ะ ไม่ต้องล้างน้ำเช่นเดียวกับคีเฟอร์นมนะคะ 




แล้วก็เอาผลไม้แห้งใส่ลงไปในโถ ตั้งทิ้งไว้ 24 หรือ 48 ชม. ก็จะได้น้ำคีเฟอร์ที่อร่อยและมีประโยชน์ รสชาติจะอมเปรี้ยว ซ่าส์ๆ มีแอลกอฮอล์ที่เกิดจากการหมักอยู่นิดหน่อยค่ะ พอหมักครบเวลาแล้วจะเห็นว่าด้านบนของผิวน้ำจะมีฟองๆลอยอยู่ ไม่เสียนะคะ แต่เป็นฟองที่เกิดจากกระบวนการหมักค่ะ




เมื่อกรองเสร็จแล้ว น้ำที่ได้ก็นำไปแช่เย็นก่อน แล้วค่อยเอามาดื่ม จะเย็นชื่นใจค่ะ ส่วนตัวคีเฟอร์ เราก็เอาไปทำตามกระบวนการแบบเดิมค่ะ


วิธีเลี้ยงบัวหิมะ(คีเฟอร์นม)


นี่เป็นคีเฟอร์ที่ผึ้งหมักเอาไว้ในโถค่ะ พอหมักครบ 24 ชม.แล้ว ผึ้งก็จะเอานมที่ได้มากรองเอาเมล็ดคีเฟอร์ออก ผึ้งชอบใช้กระชอนปลากรองค่ะ เพราะตาข่ายถี่ดี ทำให้ตัวเล็กตัวน้อยไม่เล็ดลอดค่ะ เคยใช้กระชอนแสตนเลส ตัวเล็กตัวน้อยลอดลงไปอยู่ในโยเกิร์ตหมดเลย จริงๆตัวมันกินได้นะคะ แต่ผึ้งเสียดายและสงสารมันค่ะ เลยไม่อยากกินตัว กินแต่นมที่กรองก็ประโยชน์เยอะแล้วค่ะ



เมื่อกรองนมเสร็จ ก็จะเหลือตัวคีเฟอร์ หน้าตาแบบนี้ค่ะ เนื้อจะขาวๆหยุ่นๆน่ากินมากเลยค่ะ
จากนั้นก็เอาใส่กลับลงโถใบใหม่ที่ล้างสะอาดและตากแห้งเตรียมไว้แล้ว
ปล.ไม่ต้องล้างน้ำนะคะ เพราะตัวมันจะมีสารโพลีแซคคาไลน์เคลือบไว้ ถ้าล้างออกจะทำให้โตช้าค่ะ
หรือถ้าจะล้างก็นานๆล้างที และห้ามใช้น้ำประปาโดยเด็ดขาด เพราะคลอรีนจะไปทำลายเชื้อจุลินทรีย์และแบคทีเรียในคีเฟอร์ ทำให้มันตายค่ะ






แล้วก็เอานมใส่ลงไป 1 กล่อง ผึ้งชอบใช้นมโฟร์โมสต์ รสจืด แบบมีมันเนยนะคะ รสชาติโยเกิร์ตจะเปรี้ยวๆมันๆ อร่อยดีค่ะ ถ้าทำชีส ชีสที่ได้ก็อร่อยกว่าใช้นมตัวอื่นค่ะ น้องสาวผึ้งชอบกินชีสคีเฟอร์ทาขนมปังแล้วทาแยมทับ อร่อยสุดๆค่ะ มีประโยชน์ด้วย



พอเติมนมเสร็จแล้ว ก็ปิดฝาให้สนิทเพื่อกันมดและแมลงนะคะ โดยเฉพาะแมลงวัน แมลงหวี่ ถ้ามันไข่ลงไปเมื่อไหร่นะคะ ไม่เกิน 24 ชม.จะมีน้องหนอนดึ๊บๆอยู่ในนมแน่ๆค่ะ ล้างยังไงก็ไม่หมดหรอกค่ะ (ถึงหมดก็คงจะกินไม่ลงแล้วล่ะ) ยังไงก็ต้องระวังตรงนี้ให้ดีๆนะคะ
ปิดฝาตั้งไว้ 24 ชม. แล้วก็เอามากรองนม ทำซ้ำแบบเดิมทุกวันค่ะ
ส่วนนมที่ได้ก็เอามากิน หรือพอกหน้า พอกตัว ตามใจชอบค่ะ


วิธีเลี้ยงบัวหิมะ(คีเฟอร์)

วิธีเลี้ยงบัวหิมะ

ใช้นมสดรสจืด 1 กล่อง ประมาณ 250 c.c ไม่ต้องแช่ตู้เย็น
1.แช่บัวหิมะไว้ในนมสด 250 c.c นานประมาณ 24 ชั่วโมง บัวหิมะจะเปลี่ยนนมสดให้เป็นโยเกิร์ต

2.ใช้กระชอนกรองน้ำนมนั้นมาดื่ม (จะดื่มทันทีหรือแช่เย็นไว้ดื่มทีหลังก็สดชื่นดีค่ะ) ก่อนกรองนมให้ล้างมือให้สะอาด และภาชนะทุกอย่างต้องสะอาดค่ะ

3.ล้างบัวหิมะด้วยน้ำสะอาดเบาๆ จนสะอาด ด้วยน้ำกรองหรือน้ำดื่มบรรจุขวด (ห้ามใช้น้ำประปา เพราะคลอรีนจะทำให้คีเฟอร์ตายค่ะ จริงๆแล้วไม่ล้างเลยก็ได้ค่ะ เพราะเมืองนอกเค้าเลี้ยงไม่ล้างกัน โตเร็วมากค่ะ) แล้วเทคืนสู่ภาชนะเดิม แช่ด้วยนมสดใหม่ 250 c.c ทิ้งไว้ 24 ชั่วโมง

4.ให้เลี้ยงบัวหิมะในภาชนะแก้ว หรือพลาสติกเท่านั้น ห้ามใช้ภาชนะที่เป็นโลหะทุกชนิด(เพราะมีสภาพเป็นกรดค่ะ ทำให้ภาชนะขึ้นสนิม จะไม่ดีต่อสุขภาพค่ะ เก็บในห้องที่มีอุณหภูมิปกติ

5.บัวหิมะจะเพิ่มจำนวนขึ้นเป็น 2 เท่า ภายในเวลา 18 วัน (จริงๆแล้วเค้าเพิ่มขึ้นทุกวันเลยค่ะ โตเร็วมากๆ ) ประมาณที่พอเหมาะคือ 1 ช้อนชา ต่อนม 1 กล่อง จะทำให้ได้โยเกิร์ตที่อร่อย ไม่เปรี้ยวเกินค่ะ

6.ภาชนะที่เลี้ยงต้องมีผ้าคลุมปิดปากขวดและเอาหนังยางรัดไว้ เพื่อให้อากาศระบาย และกันแมลงลงไปไข่ค่ะ หรือถ้าปิดฝาก็ให้ปิดหลวมๆค่ะ เพราะกระบวนการหมักจะเกิดแก๊ส อาจทำให้ขวดระเบิดได้ และอย่าลืมวางขวดไว้บนถาดที่รองน้ำไว้อีกทีนะคะ เพื่อกันมดขึ้นคีเฟอร์ค่ะ